ในเกมหลายเกมนั้น เมื่อเกมหลักจบลง ทางผู้พัฒนาก็ยังจะสานต่อด้วยเนื้อหาเสริมไม่ว่าจะเป็น DLC หรือ Expansion ใด ๆ ก็ตาม แต่ส่วนมากมันมักจะเป็นการยืดเวลาชั่วโมงการเล่นออกไปไม่มาก เล่าเรื่องราวเพิ่มเติมเล็กน้อยที่อาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่เกมเหล่านี้ มาพร้อม DLC ระดับคุณภาพที่หลายคนชื่นชมว่า ยอดเยี่ยมไม่แพ้เกมหลักเลย จะมีเกมอะไรบ้างนั้นมาดู!
1. Phantom Liberty – Cyberpunk 2077
เปิดเกมแรกที่เปิดตัวออกมาหลังจากที่ตัวเกมได้รับการปรับปรุงและแก้ไขไปแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่า Cyberpunk 2077 นั้นเป็นเกมที่เปิดตัวได้ย่ำแย่มาก และมีกระแสดราม่าอย่างหนักในช่วงปลายปี 2020 แต่ทีมงานก็ยังคงพัฒนาตัวเกมและปรับปรุงแก้ไขต่อเนื่องจนหลายคนชื่นชมว่ามันกลับมาดีแล้ว และหลังจากอัปเดตเวอร์ชัน 2.0 แล้ว ทีม CD Projekt RED ก็คอมโบต่อด้วย Phantom Liberty เนื้อหาเสริมที่ได้นักแสดงนำระดับ Idris Elba มาแสดงนำ ขยับขยายเนื้อเรื่องอันเข้มข้น โลกในเกมที่กว้างใหญ่ มีคอนเทนต์มากมายเสริมเข้ามาให้ได้เล่นกันเพียบ จนหลายคนยกย่องว่านี่คือสุดยอดเนื้อหาเสริมที่ทำให้เกมสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น แถมกลบจุดอ่อนของตัวเกมหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นส่วนเสริมที่ไม่ควรพลาดมาก ๆ
2. Resurrection of Evil – Doom 3
หลายคนอาจจะไม่คุ้นเลยที่ Doom เกมยิงแหลกตั้งแต่ยุค 90 กลายมาเป็นเกมสยองขวัญสุดสะพรึงในภาค 3 แถม Iconic ต่าง ๆ ของตัวเกมยังหายไป เช่นปืนลูกซองหรือ Super Shotgun โดนตัดออกไปจากเกมเลย แต่ Resurrection of Evil เป็น DLC ที่นำพามันกลับมา โดยนอกจากจะเอา Super Shotgun กลับมาแล้ว มันยังปรับรูปแบบเกมเพลย์การเล่นให้เป็นแบบที่ Doom ควรจะเป็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็คชันสุดดุเดือด และลดความสยองขวัญลง จนแฟน ๆ หลายคนแทบจะให้ Resurrection of Evil กลายเป็นเกม Doom 3 จริง ๆ ไปซะเลย ใครที่ไม่ชอบ Doom 3 เพราะสไตล์เกม ลองเปลี่ยนมาเล่น DLC ไปเลยดู อาจจะเวิร์คกว่า
3. The Villains – Far Cry 6
ใครที่คิดถึงตัวร้ายจาก Far Cry ภาค 3 ถึง 5 รับรองว่าจะต้องชอบ DLC ตัวนี้แน่นอน เพราะใน DLC นี้ เราจะได้กลับไปหาสามตัวร้ายหลักจากเกม Far Cry ทั้ง Vaas จากภาค 3 Pagan Min จากภาค 4 และ Joseph Seed จากภาค 5 ไม่ใช่แค่กลับไปหา แต่เราจะได้เล่นเป็นพวกเขาเลย เพราะใน DLC ตัวนี้จะพาเราไปทำความรู้จักกับเรื่องราวของ 3 ตัวร้าย แถมยังเปลี่ยนสไตล์การเล่นจาก Open World ให้เป็นเกม Rogue-like ตายแล้วเกิดใหม่ วนซ้ำ ผสมผสานกับการเล่าเรื่องที่ทำให้ทุก ๆ การเล่นของเรามีความหมาย และความคืบหน้าที่สนุกขึ้นเรื่อย ๆ แฟนเกมที่ชื่นชอบสามตัวร้ายจากสามภาคเก่า มาเล่น DLC ตัวนี้ อาจจะชื่นชอบและประทับใจกว่าภาคหลักเสียอีก
4. First Light – inFAMOUS
หลายคนอาจจะจำได้ว่ามันคือเกมภาคแยก แต่จริง ๆ แล้วมันก็คือส่วนเสริมนั่นแหละกับเกมแอ็คชันพลังเหนือมนุษย์ในโลกเปิดสุดอลังการอย่าง inFAMOUS ที่ภาคหลักคือ Second Son ที่ลงให้กับเครื่อง PS4 แถมภาค First Light นั้นยังมีระบบเกมการเล่นที่คล้ายกันกับภาคหลักอยู่แล้ว แต่ตัวเอกในภาคเสริมอย่าง Fetch หรือ Abigail Walker นั้นน่าดึงดูดใจว่า ด้วย Storyteller ที่ยอดเยี่ยม แถมพลังนีออนของเธอยังเท่มาก ๆ ด้วย ทำให้เกมเพลย์การเล่นมันสนุกและลื่นไหลในระดับที่เทียบเคียงกับเกมหลักได้เลย น่าเสียดายที่มันมีความยาวเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น
5. Tiny Tina’s Assault on Dragon Keep – Borderlands 2
หนัง Borderlands เพิ่งเข้าฉายกันไป ทุกคนก็คงเห็นและคุ้นชื่อของ Tiny Tina กันมาบ้าง และสำหรับเกมภาค 2 ที่หลายคนยกย่องว่ามันคือเกมสุดเทพและจนทุกวันนี้ก็ยังมีคนเล่นอยู่ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ใช่แค่เกมหลักเทพ เพราะ DLC ก็เทพด้วย นั่นคือ Tiny Tina’s Assault on Dragon Keep ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยของตัวละคร Tiny Tina บนเกมกระดาน Bunkers & Badasses ที่แน่นอนว่าเป็นการล้อเลียน Dungeon & Dragons นั่นเอง DLC ตัวนี้มีเรื่องราวต่างมิติที่น่าสนใจ มีฉากหลังที่ยอดเยี่ยม ศัตรูใหม่ที่หลากหลายและสนุกมาก แถมตัวละคร Tiny Tina ก็ยังมีเสน่ห์มาก และด้วยความนิยมของ DLC ตัวนี้ มันเลยได้รับการสานต่อจนเป็นเกมเต็มอย่าง Tiny Tina’s Wonderland เมื่อปี 2022 นั่นเอง
6. Minerva’s Den – Bioshock 2
Bioshock 2 เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยม ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่หลังจากเนื้อหาหลักจบลง 2K Games ยังสานต่อความสุดยอดของมันด้วย DLC Minerva’s Den โดยใน DLC ตัวนี้เราจะได้เล่นเป็น Big Daddy Subject Sigma ที่ต้องเดินทางผ่านพื้นที่ใหม่ที่ตกสำรวจจากเกมหลักของเมืองใต้น้ำอย่าง The Rapture เพื่อค้นหาแผนผังของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่หายไป โดยนอกเหนือจากการปรับปรุงแก้ไขเกมเพลย์การเล่นให้ลื่นไหลขึ้นจากเกมหลักแล้ว มันยังมีการปรับปรุงเนื้อหาการเล่าเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเข้มข้นและน่าติดตามมากขึ้น แถมเนื้อเรื่องยังทำออกมาได้ดีมาก หลายคนยกย่องให้มันดีกว่าเกมหลักไปเลยด้วยซ้ำ มันทั้งมอบความเซอร์ไพรส์ การหักมุม แบบเหลือจะเชื่อในระยะเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ใครเคยเล่น Bioshock 2 มาแล้วยังไม่ได้เล่น DLC นี้ บอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด