BioShock ซีรีส์เกมยิงในดวงใจของใครหลายคนที่มีออกมาทั้งหมด 3 ภาค แม้ว่าทุกภาคจะถูกยกให้เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์เกมระดับตำนาน แต่ภาคที่ลุ่มลึกในด้านการเล่าเรื่องชนิดที่ใครหลายคนต้องร้องว้าว ก็น่าจะต้องเป็นภาค Infinite ที่มีการเขียนบทและเนื้อเรื่องของเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และหากคุณคิดว่า Marvel เป็นผู้นำการเล่าเรื่องราวมัลติเวิร์สหรือจักรวาลตู่ขนาน จะบอกว่าเกมนี้ชิงทำมาก่อนแล้ว และจริง ๆ มันก็หนังและเกมอีกหลายเรื่องที่เอาประเด็นมัลติเวิร์สมาเล่น เพียงแต่ Bioshock Infinite มันทำได้ดีจัด ๆ ดีจนน่าจดจำ
เรื่องราวของ BioShock Infinite เริ่มขึ้น เมื่อนักสืบเอกชนอย่าง Booker DeWitt ได้รับงานว่าจ้างให้ไปนำตัวหญิงสาวคนหนึ่งกลับมา สถานที่ที่เป็นที่อยู่ของหญิงสาวคือมหานครลอยฟ้า โคลัมเบีย แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ แต่วิดีโอนี้ไม่ได้มาสรุปเนื้อเรื่องหรือเล่าถึงความเจ๋งเฉพาะของเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่ผมจะพูดถึงมันในฐานะวิดีโอเกมที่ทรงพลังทั้งในด้านเนื้อหาและเกมเพลย์การเล่น เพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้ใช้คำว่า มาสเตอร์พีซ มันมีการใช้เนื้อหาของจักรวาลคู่ขนานหรือมัลติเวิร์ส มีการอ้างอิงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์มาก ถ้าเล่าหมด ผมเกรงว่าตัวเองก็ข้อมูลไม่แน่นพอ แต่หลังจากเล่นจบแล้ว ผมอยากมาแชร์ประสบการณ์ว่าเกมนี้มันยอดเยี่ยมแค่ไหน
BioShock Infinite เป็นเกมแนว FPS เดินหน้ายิงเหมือนกับตัวเกม 2 ภาคแรก แต่หลายคนอาจจะไม่รู้สึกว่ามันมีความเชื่อมโยงกับ 2 ภาคแรกสักเท่าไร สปอยล์นิดนึง กว่ามันจะเชื่อมให้เราได้เห็นกัน ก็ต้องเล่นกันไปจนจบแล้วนั่นล่ะ ใครที่คุ้นชินกับเกม 2 ภาคก่อน การใช้อาวุธมือนึง ใช้ Plasmid มือนึง ภาคนี้ก็จะยังคงเป็นแบบเดิมอยู่ แต่พลัง Plasmid ของเราจะดูเป็นเหมือนพลังพิเศษในหนังซูเปอร์ฮีโร่มากขึ้น ทำให้บรรยากาศในช่วงแรกอาจจะดูห่างไกลจาก BioShock 2 ภาคแรก แต่ในภาคนี้ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกเพิ่มเข้ามาแทนที่
เริ่มจากเราจะมีคู่หูอย่าง Elizabeth จริง ๆ แล้วเธอคือเป้าหมายของเราในเกมนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจะมาเป็นคู่หูร่วมผจญภัยกับเราในเกมภาคนี้ ข้อดีของเธอคือ เธอไม่ใช่คู่หูที่จะต้องคอยประคบประหงมดูแล เพราะในระหว่างการต่อสู้ เธอจะหาจุดปลอดภัยของตัวเอง ที่ถึงแม้ว่าบางทีมันก็จะไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไรอะนะ.. และที่ผมชอบมาก ๆ คือเวลาที่ Elizabeth มียาฟื้นพลัง หรือมานาติดตัวไว้ แล้วพอเราเข้าตาจน เธอก็จะโยนส่งมาให้เรา แต่เราต้องกดรับเอง จังหวะนี้เธอดูเหมือนผุ้ช่วยของเราจริง ๆ แต่นอกนั้นส่วนอื่น ๆ ผมว่ามันไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาเท่าไร ชอบอีกอย่างตอนจังหวะที่เปลี่ยนลุคมาเป็นผมสั้นแล้วใส่เสื้อสีน้ำเงินนี่ล่ะ อันนี้โอเคเลย น่าจะเป็นตัวละครสาว ๆ ที่หลายคนชื่นชอบในตอนที่เกมออก
ในภาคนี้เราจะยังคงได้ใช้อาวุธ 2 อย่างพร้อมกันอยู่เสมอ มือขวาของเราจะเป็นอาวุธปืน มือซ้ายจะเป็นพลังพิเศษ ที่เหมือนว่าภาคนี้มันจะไม่ได้ถูกเรียกว่า Plasmid แต่ถูกเรียกว่า Vigors (วิคเกอร์ส) โดยเราสามารถติดตั้ง Vigors ได้พร้อมกัน 2 ชนิด สามารถสลับสับเปลี่ยนได้ระหว่างการเล่น เหมือนกับอาวุธก็เช่นกัน ถือได้ 2 กระบอก และสลับไปมาได้ แต่ระบบอาวุธของเกมนี้ แม้จะมีการอัปเกรดที่ตู้อัปเกรดตลอด แต่เราจะไม่สามารถแบกปืนเดียวไปลุยตลอดเกมได้ เพราะเราจะเจอศัตรูที่ใช้อาวุธต่างกัน วิธีการเติมกระสุนของเรานั้น มีเพียงแค่เก็บเอาจากศพศัตรู ซึ่งศัตรูบางตัวนั้นก็ใช้อาวุธที่แตกต่างกันออกไปด่วย แต่อย่่างไรก็ตาม เราสามารถอัปเกรดอาวุธทุกประเภทได้ที่ตู้อัปเกรดที่อยู่ตามทางระหว่างเกมการเล่นได้
จากความสนุกที่เราจำเป็นจะต้องเลือกในการนำเอา Plasmid บางอย่างไป ในภาคนี้จะเพิ่มสปีดในส่วนของแอ็คชั่นคือ ในเกมภาคนี้เราจะสามารถพกพลัง Vigors ติดตัวไปได้ในระหว่างลุย ทำให้ผู้เล่นสามารถสลับสับเปลี่ยน Vigors ของตัวเองได้ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นจะต้องกลับไปเปลี่ยนที่ตู้เหมือนกับเกม 2 ภาคแรก นั่นทำให้เกมภาคนี้ อัดแน่นไปด้วยฉากบู๊ และที่สำคัญคือพลังเปิดประตูมิติของ Elizabeth ที่ทำให้เธอสามารถเปิดรอยแยกของมิติเวลา และสนับสนุนการต่อสู้ของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นกล่องพยาบาล กล่องกระสุน หรือไอเทมสนับสนุนต่าง ๆ เช่นที่กำบัง หรือป้อมปืน และทีเด็ดที่สุด น่าจะหนีไม่พ้นส่วนของ Skyline รางเหาะกลางอากาศ ที่จะเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นหลักในภาคนี้ที่ Booker ของเราสามารถขึ้นไปโลดแล่น ผาดโผน กระโจนลีลาต่าง ๆ ได้อย่างเต็มสูบ
แม้ว่าจะเป็นเกมตั้งแต่ปี 2013 แล้ว แต่ทุกครั้งที่มีการพูดถึง BioShock Infinite เราเชื่อว่าหลายคนจะยังคงชื่นชอบ และยกให้มันเป็นหนึ่งในเกมในดวงใจเสมอมา และสำหรับเกมนี้ ไม่มีคำว่าเก่าเกินไป หยิบมาเล่นตอนนี้รับประกันว่ามันยังคงล้ำ และสนุกอย่างที่คุณไม่อาจได้จากเกมอื่น ๆ
